strategyconsultingbusiness

title: "ประเมินมูลค่ากิจการ & มูลค่าแบรนด์: คู่มือสำหรับผู้บริหารไทย" slug: "business-valuation-brand-valuation-thailand" date: "2025-09-26" lang: "th" description: "อธิบาย EV vs Equity, 3 วิธีประเมินมูลค่ากิจการ (Asset/Market/Income-DCF), WACC, Terminal Growth และ 5 วิธีประเมินมูลค่าแบรนด์ (Relief-from-Royalty, Price Premium, Excess Earnings, Cost, Market) พร้อมเช็กลิสต์และ FAQ" authors: ["Piyamin Trithipcharoenchai, with ChatGPI"] tags: ["การประเมินมูลค่ากิจการ", "การประเมินมูลค่าแบรนด์", "Valuation", "WACC", "DCF", "Relief-from-Royalty", "ISO 10668", "ISO 20671"] keywords: ["ประเมินมูลค่ากิจการ", "ประเมินมูลค่าแบรนด์", "EV vs Equity", "WACC คืออะไร", "DCF คืออะไร", "Terminal Growth", "Royalty Rate", "RfR", "Excess Earnings", "Brand Valuation Thailand"] canonical: "https://www.example.com/insights/business-valuation-brand-valuation-thailand" ogTitle: "ประเมินมูลค่ากิจการ & มูลค่าแบรนด์: คู่มือสำหรับผู้บริหารไทย" ogDescription: "วิธีคิดราคากิจการและแบรนด์แบบเข้าใจง่าย ใช้ได้จริงสำหรับผู้บริหารไทย" ogType: "article" ogImage: "/images/insights/business-valuation-brand-valuation-thailand.png" twitterCard: "summary_large_image" robots: "index,follow"

ประเมินมูลค่ากิจการ & มูลค่าแบรนด์: คู่มือฉบับเข้าใจง่ายสำหรับผู้บริหารไทย

TL;DR: เข้าใจความต่าง Enterprise Value vs Equity Value, เลือกวิธีประเมิน Asset / Market / DCF, ตั้ง WACC และ Terminal Growth อย่างมีวินัย และรู้จัก 5 วิธีประเมินมูลค่าแบรนด์ ที่ใช้กันจริงในงานมืออาชีพ

สารบัญ (Table of Contents)

ทำไม “มูลค่า” จึงสำคัญ

การรู้ “มูลค่ายุติธรรม” ช่วยตัดสินใจในสถานการณ์สำคัญ: การระดมทุน ซื้อ/ขายกิจการ เจรจาผู้ถือหุ้น ESOP ภาษี และข้อพิพาท มูลค่าที่ดีต้อง ป้องกันได้ (defensible) โปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ และสอดคล้องวัตถุประสงค์ของงาน

EV vs Equity Value ต่างกันอย่างไร

  • Enterprise Value (EV) = มูลค่าของ “กิจการทั้งหมด” มองจากกระแสเงินสดปฏิบัติการ (เป็นของทั้งเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น)
  • Equity Value = มูลค่า “ส่วนของผู้ถือหุ้น” หลังปรับ EV ด้วย หนี้-เงินสด-รายการนอกธุรกิจ
    สั้น ๆ: DCF ให้ค่า EV ก่อน แล้วจึงปรับเป็น Equity Value เพื่อสะท้อนสิทธิของผู้ถือหุ้น

3 วิธีหลักในการประเมินมูลค่ากิจการ

  1. Asset-based (NAV) — อิงสินทรัพย์สุทธิ เหมาะกับธุรกิจสินทรัพย์ชัด/เลิกกิจการ
  2. Market-based — เทียบ “ตัวคูณ” (เช่น P/E, EV/EBITDA) กับบริษัทเปรียบเทียบ/ธุรกรรมที่ใกล้เคียง
  3. Income-based (DCF) — คิดลดกระแสเงินสดอนาคตด้วย WACC สะท้อนความเสี่ยงเฉพาะธุรกิจ

แนวปฏิบัติ: ใช้ มากกว่า 1 วิธี แล้ว “กระทบยอด” เพื่อได้ช่วงมูลค่าที่สมเหตุสมผล

WACC คืออะไร และตั้งอย่างไร

  • WACC = ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของต้นทุนทุน (Ke) และต้นทุนหนี้หลังภาษี (Kd(1−T))
  • Ke มักประเมินด้วย CAPM: Ke = Rf + β × EMRP (อาจเพิ่มขนาด/ประเทศ/สภาพคล่อง)
  • β (เบต้า) ควร “unlever/re-lever” ให้สอดคล้องโครงสร้างหนี้/ทุนเป้าหมาย
  • ตรวจสอบความสอดคล้องของ D/E, อัตราภาษี, โครงสร้างทุนเป้าหมาย
  • ทำ Sensitivity ต่อ WACC ±1% เพราะมีผลต่อมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ

DCF & Terminal Value แบบเข้าใจง่าย

  • สร้างประมาณการกระแสเงินสดเสรี (Free Cash Flow) 3–5 ปี หรือยาวกว่านั้นตามความเหมาะสม
  • Terminal Value ใช้สูตร Gordon Growth: CF_(n+1) / (WACC − g) โดย g ควรสะท้อนการเติบโตยั่งยืนระยะยาว (ไม่เกินศักยภาพเศรษฐกิจมากนัก)
  • ตรวจ ความสอดคล้อง ระหว่างสมมติฐานการเติบโต/ส่วนแบ่งตลาด/กำลังการผลิต และการลงทุน (Capex/Working Capital)

5 วิธีประเมิน “มูลค่าแบรนด์” ที่ใช้กันจริง

เลือกวิธีตาม “จุดประสงค์งาน”, “ข้อมูลที่มี” และ “บริบทกฎหมาย/ภาษี” บางงานใช้ หลายวิธี แล้วถ่วงน้ำหนักร่วม

1) Relief-from-Royalty (RfR)

แนวคิด: หากเรา “ไม่ได้เป็นเจ้าของ” แบรนด์ จะต้องจ่าย ค่าสิทธิ (royalty) เท่าใดเพื่อใช้ชื่อแบรนด์นั้น
ขั้นตอนย่อ: กำหนดฐานรายได้ → เลือก royalty rate → คำนวณเงินออมค่าสิทธิหลังภาษี → คิดลดด้วย WACC ของแบรนด์ → พิจารณา TAB (Tax Amortisation Benefit) ถ้าใช้ได้

2) Price/Volume Premium (Brand-Driven Uplift)

ประเมินส่วนเพิ่มราคา หรืออัตรา conversion/retention จากแบรนด์ → แปลงเป็นกำไรหลังภาษี → คิดลดเป็นมูลค่า
เครื่องมือ: WTP, Conjoint/Discrete Choice, A/B Test, Elasticity

3) MPEEM (Multi-Period Excess Earnings)

มูลค่าแบรนด์ = กระแสเงินสด “ส่วนเกิน” หลังหัก Contributory Asset Charges (CACs) ของสินทรัพย์อื่น → คิดลดด้วย WACC ของแบรนด์

4) Cost Approach

ต้นทุนสร้าง/ทดแทนให้ได้ความสามารถเทียบเท่า (รวม cost สร้างการรับรู้ + obsolescence) — ใช้เป็น พื้นล่าง (floor)

5) Market Approach

อิงธุรกรรม/ดีลให้สิทธิ์ที่เทียบได้ ปรับความต่างด้านขนาด การเติบโต ความเสี่ยง กฎหมาย และสิทธิที่โอน

กรอบมาตรฐานสากลสำหรับการประเมินแบรนด์

  • ISO 10668: มุม การเงิน/พฤติกรรม/กฎหมาย
  • ISO 20671: กรอบ การจัดการแบรนด์ และตัวขับเคลื่อนคุณค่า
    แนวปฏิบัติ: ใช้ Brand Strength Score ปรับ royalty/WACC/multiple

กรณีชื่อแบรนด์เป็นชื่อบุคคล/แพทย์

สิทธิ/สัญญาเครื่องหมาย, non-compete/non-solicit, quality control, ความเสี่ยง key-person, แผน succession
ผลต่อมูลค่า: มักเห็น royalty/useful life/WACC สูงขึ้นหากพึ่งพาบุคคลมากและสิทธิทางกฎหมายจำกัด

Checklist เอกสารที่ควรเตรียม

  • งบการเงิน 3–5 ปี + แผนธุรกิจ/แผนขยายสาขา/งบการตลาด
  • ข้อมูลลูกค้า/ช่องทาง/ราคา/ส่วนลด/A-B test
  • สิทธิในเครื่องหมายการค้า/สัญญาอนุญาต/ข้อกำหนดคุณภาพ
  • ตัวเทียบ (multiples/royalty benchmarks) + สมมติฐาน WACC
  • ความสมเหตุสมผลของ g, Capex, Working Capital, และ capacity

ความเสี่ยง & จุดที่มักผิดพลาด

  • ใช้ตัวคูณโดยไม่ปรับความต่าง, ตั้ง WACC ไม่สอดคล้อง, ใช้ g เกินศักยภาพเศรษฐกิจ
  • ไม่ผูกแบรนด์กลับกับ EV (เสี่ยง double-count), ลืม TAB และ useful life

FAQ

ต่างกันอย่างไรระหว่าง EV และ Equity Value?
EV คือมูลค่ากิจการทั้งหมด ส่วน Equity คือมูลค่าผู้ถือหุ้นหลังปรับหนี้-เงินสด-รายการนอกธุรกิจ

เลือก Market หรือ DCF อย่างไร?
ควรใช้หลายวิธีแล้วถ่วงน้ำหนักตามบริบท

WACC คำนวณจากอะไร?
โดยทั่วไปใช้ CAPM หา Ke และรวมกับ Kd(หลังภาษี) ตาม D/E เป้าหมาย

ทำไม Terminal Growth มักอยู่ราว 2–4%?
เพื่อสะท้อนการเติบโตยั่งยืนใกล้เศรษฐกิจ/เงินเฟ้อระยะยาว

วิธีประเมินแบรนด์แบบไหนเหมาะ?
ขึ้นกับวัตถุประสงค์และข้อมูล: RfR / Price Premium / MPEEM / Cost / Market

Call-to-Action

ต้องการมูลค่าที่ ป้องกันได้ สำหรับดีล/ศาล/ภาษี/ESOP? ทีม NXT เชี่ยวชาญ Valuation + Brand Valuation + Financial Modeling สำหรับบริการ/เฮลธ์แคร์/ค้าปลีก — ติดต่อเรา เพื่อรับรายการข้อมูลที่ควรเตรียม

หมายเหตุสำคัญ

  • บทความนี้ให้ความรู้ทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำทางกฎหมาย/ภาษี
  • สมมติฐานควรปรับให้เหมาะกับอุตสาหกรรม ขนาด และวัตถุประสงค์ของงาน